ขับรถลุยน้ำควรอ่าน

น้ำท่วมระดับไหนรถชนิดไหนขับผ่านไปได้อย่างปลอดภัย และระดับไหนไม่ควรไปต่อประเมินได้ด้วยตัวเองตามระดับน้ำ ดังนี้
1. ระดับน้ำ 5 - 10 ซม. ท่วมแค่ผิวถนน รถอะไรก็ให้ขับผ่านได้ ไม่มีผลกับเครื่องยนต์
2. ระดับน้ำ 10 - 20 ซม. ระดับนี้ยังไปได้ไม่ต้องกังวลค่ะ ไม่มีผลกับเครื่องยนต์
3. ระดับน้ำ 20 - 40 ซม. ระดับนี้รถเก๋งค่อนข้างเสี่ยง แต่รถกะบะยังรอด เพราะส่วนใหญ่ระดับประตูรถเก๋งเกือบทุกรุ่นจะมีระยะความสูงจากพื้นประมาณ 15-17 ซม.เท่านั้น
ดังนั้นถ้าขับลุยอาจเกิดอาการพรมแฉะ หากระดับน้ำสูงท่วม 3 ใน 4 ของล้อรถ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าท่อไอเสียกำลังจมอยู่ใต้น้ำ แต่ยังพอขับต่อได้อีกหน่อย
ส่วนรถกะบะและรถขับเคลื่อน 4 ล้อยังสบายใจได้
4. ระดับน้ำ 40 - 60 ซม. น้ำระดับนี้เป็นอันตรายกับรถเก๋งทุกประเภท ไม่ควรขับลุยน้ำ ส่วนรถกะบะขับลุยได้นิดหน่อยแต่ต้องระวังเรื่องของคลื่นน้ำ
ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นฉับพลันและอาจเข้าตัวเครื่องได้ ง่ายๆ คือระดับนี้รถกะบะยังขับได้ ไม่มีปัญหา หากปิดแอร์ขณะขับได้จะยิ่งปลอดภัย
5. ระดับน้ำ 60 - 80 ซม. น้ำระดับนี้อันตรายกับรถทุกประเภทแม้จะเป็นรถใหญ่ หากน้ำไหลเข้าเครื่องยนต์ อาจทำให้เครื่องยนต์หยุดชะงัก
และสร้างความเสียหายแก่ระบบต่างๆได้ หากใครที่ไม่ชำนาญแนะว่าให้หลีกเลี่ยงการขับรถลุยน้ำท่วม และหันไปใช้เส้นทางอื่นที่น้ำไม่ท่วมหรือท่วมน้อยกว่าแทนจะดีกว่า
6. ระดับน้ำ 80 ซม.ขึ้นไป ระดับสูงที่สุดที่รถยนต์จะขับลุยน้ำได้แล้ว น้ำท่วมจะท่วมทั้งกระโปรงรถและไฟหน้า ถ้าจะลุยสิ่งสำคัญคือต้องเดินเครื่องต่อเนื่องห้ามหยุด
เพื่อกันการลัดวงจร แต่ทางที่ดีคือ อย่าฝ่าไปเลย เพื่อความปลอดภัยของรถและตัวคนขับเอง
และในกรณีขับรถลุยน้ำท่วมเราควรเช็ควิธีป้องกันก่อนรถน็อคกลางทางอย่างไร
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รถดับหรือเครื่องพังกลางทาง (ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบก) ดังนี้
- ปิดแอร์ เมื่อเจอน้ำท่วมขัง เพราะหากน้ำท่วมถึงตัวพัดลม พัดตีน้ำขึ้นมาโดนบริเวณห้องไฟฟ้าอาจช็อตและทำให้เครื่องยนต์ดับได้
- รักษาระยะห่างจากรถคันอื่น เพราะระบบเบรคที่แช่น้ำนาน ๆ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานต่ำลง
- ลดความเร็ว และรักษาความเร็วให้คงที่ ห้ามจอดและไม่ควรอยู่ใกล้รถคันอื่น
- ใช้เกียร์ต่ำ เพื่อประคองเครื่องยนต์ไม่ให้ดับ หากเป็นรถยนต์เกียร์ออโต้ให้ใช้เกียร์ L รถยนต์เกียร์ธรรมดาให้ใช้เกียร์ 1 หรือ 2
- เหยียบเบรคย้ำ ๆ เพื่อไล่น้ำออกจากผ้าเบรค เมื่อขับพ้นน้ำท่วม
- อย่าเพิ่งดับเครื่องทันที ให้ติดเครื่องยนต์ไว้สักพัก เพื่อไล่น้ำและความชื้นที่ค้างอยู่ตามเครื่องยนต์
หากรถดับจากน้ำท่วมขังต้องทำอย่างไร
เมื่อขับรถแล้วเกิดรถดับกะทันหันกลางถนนหรือบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง ห้ามสตาร์ตเครื่องยนต์ในน้ำเด็ดขาด
จะทำให้รถพังเร็วขึ้น ผู้ขับรถควรตั้งสติก่อนแล้วบิดกุญแจดับเครื่องจากนั้นให้ปฏิบัติตามขั้นตอน
1. ออกจากรถเพื่อขอความช่วยเหลือในการเข็นรถหนีน้ำไปที่สูงหรือที่แห้ง
2. เปิดฝากระโปรงหน้ารถเพื่อตรวจสอบว่า รถดับจากน้ำเข้าระบบกรองอากาศหรือดับจากระบบไฟฟ้าเปียกน้ำด้วยการมองหา หม้อกรองอากาศรถของเราให้เจอก่อน
เปิดฝาหม้อกรองอากาศออก ดูแผ่นกรองว่ายังแห้งอยู่ไหม ถ้ายังแห้งอยู่รถก็น่าจะดับจากระบบไฟโดนน้ำแล้วลัดวงจร ซึ่งก็อาจจะแก้ไขเพื่อให้เราขับรถกลับบ้านได้
แนะนำให้เอารถเข้าอู่หรือศูนย์บริการดีที่สุด
เมื่อรู้สาเหตุแล้วเราสามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ด้วย (ในกรณีที่เรารู้ว่าชิ้นส่วนไหนอยู่ตรงไหน)
- ถ้ารถดับเพราะระบบไฟฟ้า ให้เราหาที่เติมลมยางที่มีอยู่ตามปั๊มน้ำมันมาเป่าไล่น้ำออกไป เช่น ที่ขั้วแบตเตอรี่ ที่บริเวณหัวเทียนให้ถอดจุ๊บยางออกมาเป่าลมให้แห้ง
- รถที่ดับเพราะน้ำเข้าระบบกรองอากาศหรือเข้าท่อไอดี งานนี้เราเรียกใช้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินจากบริษัทประกันดีที่สุด
ซึ่งในบางบริษัทประกันมีบริการช่างซ่อมรถยนต์ฉุกเฉินให้ด้วย
รถดับแช่อยู่ในน้ำส่งผลเสียอย่างไร
หากผู้ขับรถที่ประสบปัญหาดังกล่าว แล้วยังสามารถขยับหรือเคลื่อนย้ายรถได้ อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมา โดยเฉพาะรถที่น้ำเข้าระบบกรองอากาศ
เพราะการทำงานของรถนั้นหล่อลื่นด้วยน้ำมันหล่อลื่นและอาศัยการอัดอากาศให้เกิดแรงดันทำให้เครื่องยนต์ทำงาน
หากขับรถเครื่องร้อน ๆ อยู่ไปเจอน้ำเข้าเครื่องจากช่องกรองอากาศดี ซึ่งก็จะทำให้เครื่องน็อคทันที
ทั้งจากความเย็นของอุณหภูมิน้ำและค่าความหนืดของน้ำที่ต่างจากอากาศที่ไหลเข้าไปที่ห้องเผาไหม้ (เข้าลูกสูบ) ในรถเครื่องยนต์เบนซิน
หรือเข้าไปที่หัวฉีดในรถเครื่องยนต์ดีเซล หรือเราพูดกันง่าย ๆ ได้เลยว่าเครื่องพัง ต้องไปอู่หรือศูนย์บริการเพื่อผ่าเครื่องล้างเอาน้ำออกเท่านั้น
นอกจากเครื่องยนต์แล้ว ยังมีระบบเบรค เพลา ลูกหมากต่าง ๆ ที่มีลูกยางห่อหุ้มอยู่ที่อาจจะมีน้ำเข้าไปขังอยู่ รวมถึงระบบเกียร์ในเฟืองท้าย
สายพานและหัวเทียนด้วยในรถ และควรดูแลห้องโดยสารระบบไฟโดยเฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ที่อาศัยกล่องควบคุมระบบไฟฟ้าหรือ EC
ซึ่งมีหน้าที่หลักในการควบคุมการสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ แบตเตอรี่ และประตูที่อาจเกิดสนิมขึ้นได้ด้วย
เมื่อเข้าหน้าฝน อาจต้องขับรถลุยน้ำอาจเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ควรสังเกตระดับน้ำทุกครั้ง เพื่อดูความเหมาะสมว่าควรฝ่าน้ำไปหรือไม่
เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์และระบบไฟในรถเสียหาย และการเอาตัวรอดหากรถดับกะทันหันเนื่องจากน้ำท่วมขัง
หากรถแช่ในน้ำนานๆ เครื่องยนต์มีปัญหาแน่ ดังนั้นเราจึงควรสังเกตและประเมินสถานการณ์อยู่เสมอเพื่อความปลอดภัยต่อรถค่ะ